มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองและเยียวยาผู้บริโภค ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองและการเยียวยาผู้บริโภค ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในการระบุคำเตือนลงบนฉลากผลิตภัณฑ์ การแจ้งและการกำหนดให้มีแพทย์เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิสูจน์ความเสียหายและการเยียวยาผู้บริโภค กรณีผลิตภัณฑ์ขาดประสิทธิภาพจากการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 แม้จะได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องระบุคำเตือนลงบนฉลากของผลิตภัณฑ์ก็ตาม แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมถึงความเสี่ยงอย่างอื่นที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขไว้เป็นการเฉพาะและพบว่าการพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ได้กำหนดให้ศาลใช้ดุลพินิจในการกำหนดให้มีพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิสูจน์ความเสียหาย ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่เป็นการเยียวยาที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เพราะสารเคมีทางวิทยาศาสตร์แต่ละชนิดต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการพิสูจน์เกี่ยวกับผลข้างเคียง ความรุนแรง ระยะเวลาในการรักษาและค่าใช้จ่ายในการรักษา รวมทั้งการเยียวยาความเสียหายในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ขาดประสิทธิภาพแม้ผู้บริโภคจะสามารถเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือฟ้องร้องต่อศาลในคดีผู้บริโภคได้ก็ตามแต่กลับพบข้อมูลว่ามีการร้องเรียนจำนวนน้อยและไม่มีข้อมูลการฟ้องคดี เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อค่าใช้จ่ายและเวลาในการดำเนินการ เมอื่เทยีบกบัราคาของผลติภณัฑ ์จากการศึกษาเห็นควรที่การกำหนดหน้าที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องระบุคำเตือน เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเสี่ยงจากการบริโภคผลิตภัณฑ์และได้รับความปลอดภัยมากที่สุดเพื่อแจ้งให้ทราบถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากผลิตภัณฑ์บนฉลาก และการพิจารณาคดีผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ต้องกำหนดให้ศาลมีหน้าที่ในการแจ้งให้คู่ความทราบและเรียกแพทย์เข้ามาเป็นพยาน ผู้เชี่ยวชาญในคดีแทนที่จะให้เป็นดุลพินิจของศาลและถ้าผลิตภัณฑ์ขาดประสิทธิภาพเกินกว่าที่ได้กล่าวอ้าง ควรกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องคืนเงินค้าผลิตภัณฑ์หากผลิตภัณฑ์ขาดประสิทธิภาพเพื่อก่อให้เกิดการคุ้มครองและการเยียวยาแก่ผู้บริโภคที่ดียิ่งขึ้นต่อไป